ระบบโครงจานดาวเทียม
ความแตกต่างระหว่าง C-Band กับ KU-Band
สัญญาณที่ส่งลงมา จากดาวเทียมที่สามารถรับในประเทศไทย ปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 ระบบ คือ ระบบ C-Band และ KU-Band ระบบ C-Band จะส่งคลื่นความถี่กลับมายังโลกในช่วงความถี่ 3.4-4.2 GHz แบบนี้จะมีฟุตปริ้นกว้างสามารถส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้หลายประเทศ ซึ่งสัญญาณดาวเทียมที่รับได้ จากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบนี้ แต่เนื่องจากสัญญาณครอบคลุมพื้นที่กว้าง ความเข้มสัญญาณจะต่ำ จึงต้องใช้จานขนาด 4-10 ฟุต รับสัญญาณ ภาพจึงจะชัด (รายการส่วนใหญ่เป็นฟรีทีวีของแต่ละประเทศ และส่วนมากสามารถรับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ) ระบบ KU-Band จะส่งคลื่นความถี่กลับมายังโลกในช่วงความถี่ 10-12 GHz สัญญาณที่ส่งครอบคลุมพื้นที่ได้น้อย ใช้กับการส่งสัญญาณภายในประเทศ ส่วนใหญ่ใช้กับระบบการให้บริการ เคเบิ้ลทีวี ภายในประเทศ ความเข้มสัญญาณจะสูง จึงใช้จานขนาดเล็ก 35-75 ซม. เช่น UBC (การรับทีวีผ่านดาวเทียมในระบบ KU-Band ส่วนใหญ่ต้องสมัครสมาชิกจึงจะรับชมได้)
- ความเข้มของสัญญาณในการส่ง C-Band จะเบากว่า Ku-Band เป็นเหตุผลในทางเทคนิค ตามข้อที่ 2
- พื้นที่ครอบคลุมของสัญญาณ ( Beam Coverage Area) ระบบ C-Band จะใช้งานเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่รับสัญญาณได้กว้างขวางทั่วทั้งทวีป แต่ระบบ Ku-Band จะใช้เพื่อครอบคลุมพื้นที่เฉพาะในประเทศ ในทางเทคนิคต้องส่งสัญญาณ C-Band ให้มีความเข้มของสัญญาณน้อยกว่า Ku-Band เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนกันได้
- ลักษณะของใบจานรับสัญญาณ C-Band จะเป็นตะแกรงโปร่ง หรือทึบ ทรงกลม ขึ้นรูปพาราโบลิค ขนาดทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 - 10 ฟุต ส่วน Ku-Band จะเป็นจานทึบ Offset รูปไข่ ขนาด 0.35 - 1.80 เมตร
- ขนาดของจานรับสัญญาณดาวเทียม จากเหตุผลข้อที่ 1 ทำให้ระบบ Ku-Band สามารถใช้ใบจานขนาดเล็กกว่า C-Band ค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่น UBC จะใช้ใบจาน offset ขนาด 35 - 75 ซม. ก็สามารถรับสัญญาณได้ดี ในขณะที่ระบบ C-Band ต้องใช้จานขนาดใหญ่กว่าถึง 2-3 เท่า เพื่อให้รับสัญญาณได้ดี
- ลักษณะของแผ่นสะท้อนของใบจาน ระบบ Ku-Band จะเป็นโลหะแผ่นเรียบจะเป็นอลูมีเนียม หรือ เหล็กชุบสี ในขณะที่ C-Band ส่วนใหญ่จะเป็นตะแกรงปั้มเป็นรูเล็กๆ จาน C-Band จานแบบทึบมีให้เห็นบ้างแต่น้อยมาก และไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากน้ำหนักมาก และต้านลม แล้วถ้าหากว่า จะใช้จานแบบ C-Band รับสัญญาณระบบ Ku-Band ได้มั้ย ตอบว่าได้แต่ในทางกลับกันจะเอาจาน Ku-Band มารับสัญญาณ C-Band ไม่ได้ นอกจากจะใช้จานขนาดใหญ่จริง ๆ
- หัวรับสัญญาณ ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า LNBF (Low Noise Block Down Frequency) เป็นตัวแปลงสัญญาณความถี่สูงให้ตำลงมาจนเหมาะสมกับภาครับของเครื่องรับสัญญาณ (Receiver) ซึ่งระบบ C-band จะรองรับความถี่ 3.4-4.2 GHz ในขณะที่ Ku-Band รองรับความถี่ 10-12 GHz จึงใช้แทนกันไม่ได้ อาจมีบางรุ่นที่ทำแบบ 2 in 1 คือ เอาหัว 2 ระบบบรรจุไว้ใน Case เดียวกัน
- เครื่องรับสัญญาณ (Receiver) โดยทั่วไปไม่แตกต่างกันนอกจากผู้ผลิตจะเจตนาให้ตัวเครื่องรับได้เฉพาะระบบ เช่น เครื่องรับสัญญาณของ UBC จะไม่สามรถนำมาใช้รับสัญญาณระบบ C-Band ได้ โดยทั่วไปเครื่องรับสามารถรับสัญญาณได้ทั้ง 2 ระบบ เพียงตั้งค่า LNBF ให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
ข้อควรรู้เพิ่มเติม คือ ระบบ Ku-Band เป็นระบบที่ส่งสัญญาณด้วยความถี่สูง ซึ่งจะมีปัญหาการรับสัญญาณในขณะฝนตกหนัก การเพิ่มขนาดใบจานอาจช่วยได้บ้างแต่ถ้าฝนตกหนัก เมฆหนาทึบ จะรับสัญญาณไม่ได้ ในขณะที่ C-Band จะเหนือกว่าตรงที่ไม่มีปัญหาขณะฝนตก
การใช้เข็มทิศ
การใช้เข็มทิศสำหรับติดตั้งจานดาวเทียม
- ใช้วัดทิศทางในการรับสัญญาณ - ใช้เทียบวัดปรับขั้วการรับสัญญาณของตัว LNB
การเลือกใช้เข็มทิศสำหรับติดตั้งจาน
เข็มทิศมีอยู่มากมายหลายแบบ...แต่ที่นิยมมากที่สุดสำหรับช่างติดตั้งจานดาว เทียมในขณะนี้คือ...เข็มทิศแบบไม้บรรทัด เหมือนภาพตัวอย่างนี้...ไม่ว่าจะเป็นบริษัทดาวเทียมใหญ่หรือเล็ก...ตอนนี้ แนะนำให้ใช้เข็มทิศแบบนี้กันทั้งนั้นละครับ
| ||
ข้อดีของเข็มทิศแบบนี้ก็คือ....สามารถหมุนปรับตั้งตัวเลขอ้างอิงได้...ใช้ วัดปรับทิศได้ค่อนข้างแม่น...และใช้วัดปรับขั้วการรับสัญญาณของตัว LNB ได้ด้วย...และสำหรับท่านที่นำไปใช้ควบคู่กับแผนที่ที่มีอัตราส่วนเท่ากันกับ ตัวเลขที่พิมพ์ไว้ข้างๆตัวเข็มทิศ...ก็จะสามารถวัดระยะทางเป็นแบบกิโลเมตร ได้เลยละครับ...และสุดท้ายที่ยากจะแนะนำคือมีแว่นขยายให้ใช้ด้วย...สรุป เข็มทิศนี้ค่อนข้างดีจึงยากแนะนำให้ใช้กันครับ
| ||
เข็มทิศเป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับวัดทิศทาง เพื่ออ้างอิง เป็นอุปกรณ์ตัวเล็กแต่ประโยชน์มากมายครับ ตัวเข็มทิศผลิตจากแผ่น แม่เหล็กบางๆ วางไว้บนจุดหมุนที่ไม่มีแรงเสียดทาน เมื่อเราปล่อยให้แผ่นแม่ เหล็กบางๆนี้เคลื่อนไหวแบบอิสระ ตัวแผ่นแม่เหล็กก็จะหมุนไปหยุดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองทำ ให้เราอ่านทิศทางได้ | ||
| ||
ตัวอักษร กับ ทิศทาง
| ||
การนำเข็มทิศและอลูมิเนียมมาประกอบใช้งาน สำหรับใช้วัดทิศทางการรับสัญญาณในการติดตั้งจานดาวเทียม | ||
การใช้เข็มทิศสำหรับการติดตั้งจานดาวเทียม ต้องระวังเรื่องการรบกวนที่ จะเกิดกับตัวเข็มทิศด้วย เพราะจะทำให้การวัดทิศเกิดความผิดพลาดได้ และเป็นผลให้หาสัญญาณดาวเทียมไม่เจอด้วยครับ การรบกวนเกิดได้จาก ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็ก และ อุปกรณ์ที่มีแม่เหล็ก สิ่งเหล่านี้ หากว่าตัวเข็มทิศวางอยู่ใกล้ๆ จะทำให้เข็มทิศเพี้ยนจากความเป็นจริงได้ ต้องระวังเมื่อมีการเทียบวัด ต่อไปนี้คืออุปกรณ์เสริมที่จะทำให้การวัดทิศวัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น * สาเหตุที่ต้องใช้อลูมิเนียมมาประกอบใช้...เพราะแผ่นแม่เหล็กของตัวเข็มทิศจะ ไม่ดูดกับตัวฉากอลูมิเนียมทำให้การปรับเทียบวัด...ทำได้แม่นยำยิ่งขึ้นครับฉากแบบนี้ใช้เหล็กฉากไม่ได้นะครับ
อุปกรณ์ที่ใช้มีดังนี้ครับ
1. อลูมิเนียมแบบฉากความยาวประมาณ 2 ฟุต หรือ 60 ซม. ( ห้ามใช้เหล็ก ) 2. เข็มทิศแบบไม้บรรทัดตามแบบภาพหรือไกล้เคียง ( เอาแบบปรับหมุนองศาได้ )
นำเอาเข็มทิศติดไว้กับอลูมิเนียมแบบฉากโดยใช้เทปกาว 2 หน้า
เท่านี้ท่านก็มีอุปกรณ์วัดทิศแบบสุดยอดไว้ใช้ติดตั้งจานดาวเทียมแล้วละครับ | ||
วิธีการใช้เข็มทิศสำหรับจาน FIX.
| ||
ถ้าเราใช้เข็มทิศเป็นก็จะช่วยให้การติดตั้งง่ายและเร็วยิ่งขึ้นครับ
การใช้เข็มทิศสำหรับจาน FIX. มีขั้นตอนง่ายๆดังนี้ครับ 1. เลือกดาวเทียมที่จะรับ 2. เช็คมุมส่ายของดาวเทียมที่จะรับว่าอยู่ที่กี่องศา ( Az ) แต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน 3. ปรับหมุนตัวเลขที่วงกลมสีส้มของเข็มทิศให้ได้ตัวเลข ตามค่าองศามุมส่าย 4. นำเข็มทิศไปวางทาบด้านข้างคอจาน 5. ปรับดันหรือดึงหน้าจานให้เข็มทิศหมุนตรงตามทิศ เหนือใต้ โดยให้เข็มสีแดงชี้ที่ตัว N และเข็มสีดำชี้ที่ตัว S เท่านี้เราก็จะได้ทิศของจานแบบ Fix. แล้วละครับ ที่เหลือก็ปรับมุมก้มเงยช่วย | ||
| ||
การใช้เข็มทิศวัดเทียบขั้ว LNB สำหรับจาน FIX | ||
วิธีการใช้เข็มทิศ สำหรับจานแบบมูฟ
จานแบบมูฟจะมีการวัดทิศเพื่ออ้างอิงเพียงจุดเดียว คือทิศใต้ครับ วิธีการใช้เข็มทิศวัดทิศใต้จะมีวิธีการวัดง่ายๆดังนี้ครับ ปรับหมุนที่วงกลมสีส้มให้ตัว S ที่วงกลมสีส้มตรงกับเส้นอ้างอิงสีแดงด้านล่างของเข็มทิศดังภาพตัวอย่าง | ||
| ||
ปรับหน้าจานให้ตัวเข็มทิศสีดำแดงตรงแบบภาพตัวอย่าง คือ N ตรงกับสีแดง S ตรงกับสีดำ เท่านี้หน้าจานก็จะหันไปทางทิศใต้เรียบร้อยแล้วครับ (LNB) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับแปลงความถี่ที่ได้รับมาจากดาวเทียมให้ต่ำและมีกำลังมากพอที่จะส่งไปตามสายนำสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าคำว่า low noise แปลว่า สัญญาณรบกวนต่ำ ถ้าอุปกรณ์ตัวนี้มีสัญญาณรบกวนที่เกิดในตัวมันเองต่ำมากเท่าใดสัญญาณที่มาจากดาวเทียมที่อยู่ในระบบรับสัญญาณก็ถูกรบกวนต่ำมากเท่านั้น ซึ่งก็จะทำให้สัญญาณมีความบริสุทธิ์มากตามไปด้วย ส่วนคำว่า blockdown converter แปลว่า ตัวเปลี่ยนให้ต่ำลง สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนให้ต่ำลงเพราะความถี่ที่มาจากดาวเทียมเป็นความถี่ที่สูงเกินกว่าขีดความสามารถของสายนำสัญญาณจะยอมให้ผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพคือมีการสูญเสียต่ำ จึงต้องมีการแปลงให้อยู่ในช่วงความถี่ที่เหมาะสมเพื่อที่จะให้ถูกส่งผ่านไปตามสายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
MATV คืออะไร
MATV คืออะไร
MATV (Master Antenna TeleVision) ระบบทีวีรวม เป็นระบบที่มีสายอากาศรับสัญญาณทีวีช่องต่างๆ รวมกันเป็นเพียงชุดเดียว แต่สามารถกระจายสัญญาณไปยังจุดต่างๆ ภายในอาคารเดียวกันหรือบริเวณใกล้เคียง ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้จานดาวเทียมเป็นตัวรับสัญญาณแทนสายอากาศ เพราะสามารถให้สัญญาณที่คมชัดกว่าสายอากาศ สังเกตว่าในปัจจุบันนี้ตามตึกสูง โรงแรม คอนโดมิเนีม อพาร์ทเมนท์ หอพัก ฯลฯ ก็นิยมติดตั้งจานดาวเทียมไว้เพื่อรับสัญญาณ แล้วจึงนำสัญญาณที่ได้มาส่งเข้าระบบทีวีรวม MATV ต่อไป…
การออกแบบระบบ MATV และอุปกรณ์ที่ใช้
การออกแบบระบบ MATV
คือ การวางโครงสร้างบริเวณระดับสัญญาณทีวีที่จุดต่าง ๆ พร้อมกับจำนวนอุปกรณ์ที่ใช้ในงานนั้นๆ อย่างละเท่าใด ซี่งในการออกแบบนี้จะทำให้ทราบถึงค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ ฉะนั้นการออกแบบระบบ MATV คือ ผู้ออกแบบจะต้องตรวจสอบ คือคุณสมบัติและสเปคของอุปกรณ์ MATV
หลักการในการออกแบบระบบ MATV การคำนวณสัญญาณที่ตำแหน่งต่างๆ และตัวอย่างการออกแบบสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและอาคารแบบต่างๆ
ใน การออกแบบระบบ MATV นั้น หลักการพื้นฐานที่สำคัญอาจกล่าวได้ว่า มี 2 ประการด้วยกัน คือ
หลัก การประการแรกที่ว่า สัญญาณที่เอาต์เลตทีวีจะต้องมีคุณภาพดีนั้น หมายถึง สัญญาณที่ได้เมื่อแสดงออกที่จอทีวีแล้ว จะต้องชัดเจนไม่มีสัญญาณรบกวนในลักษณะใดๆ ที่จะทำให้ผู้ชมเกิดความรำคาญได้ การที่สัญญาณที่ได้จะมีคุณภาพดีดังกล่าวนี้ จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติหลายอย่างด้วยกัน คือ
คุณสมบัติ ทั้งสามประการนี้นับว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและจะขาดเสียมิได้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตามอย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ตัวอาคารที่ต้องการติดตั้งระบบ MATV อยู่ในบริเวณที่ใกล้สถานีส่งของวิทยุ หรือโทรทัศน์ หรือสถานีส่งคลื่นวิทยุอื่นๆ คลื่นต่างๆ เหล่านี้อาจเข้ามารบกวนระบบได้ ในกรณีเช่นนี้จำเป็นจะต้องรู้ข้อมูลโดยละเอียดเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาใน การออกแบบ และต้องใช้เทคนิคต่างๆ ในการขจัดสัญญาณรบกวนนั้นๆ ออกไป ซึ่งก็หมายถึงราคาของระบบจะต้องสูงขึ้น สำหรับช่วงของระดับสัญญาณที่เหมาะสม ค่า S/N ที่จำเป็น และระดับของสัญญาณภาพซ้อนนั้น รายละเอียดได้กล่าวไว้ในบทที่ 2 แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ดูค่าตัวเลขต่างๆ ในบทที่ 2 ประกอบ
สำหรับหลักการ สำคัญประการที่ 2 ที่ว่า ราคาของระบบจะต้องถูกนั้น อันนี้เป็นหลักการพื้นฐานของทางด้านวิศวกรรมทั่วไป คือ ผู้ออกแบบจะต้องออกแบบให้ระบบทำงานได้ดี โดยที่ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมร่วมกับการออกแบบวงจรการจ่ายสัญญาณอย่างถูกต้อง ในกรณีทั่วๆ ไป ผู้ออกแบบจะต้องทำการประนีประนอมระหว่างคุณภาพของสัญญาณที่ได้รับกับราคาของ ระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอกได้มาก ผู้ออกแบบจะต้องพยายามออกแบบวงจรการจ่ายและกำหนดอุปกรณ์อย่างเหมาะสมเพื่อ ให้ได้คุณภาพของสัญญาณดีพอสมควร ในขณะเดียวกันราคาของระบบก็ไม่สูงมากนัก ในเงื่อนไขการรับที่สัญญาณมีระดับต่ำ และเสียงรบกวนมีมาก ราคาของระบบอาจจะสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวของกรณีที่ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ออกแบบที่ต้องหาจุที่เหมาะสมที่สุดระหว่าง คุณภาพของสัญญาณกับราคาของระบบดังกล่าวข้างต้น
การสำรวจข้อมูลขั้น พื้นฐาน
การ สำรวจข้อมูลขั้นพื้นฐานนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบระบบที่โดยเฉพาะในกรณีที่ คาดว่าจะมีสัญญาณรบกวนเข้าสู่ระบบได้มาก ข้อมูลที่ต้องทำการสำรวจจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของสัญญาณทั้ง 3 ประการดังกล่าวในหัวข้อก่อน กล่าวคือระดับสัญญาณของแต่ละช่อง แหล่งของสัญญาณรบกวน และสาเหตุที่ทำให้เกิดภาพซ้อน วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ การสอบถามจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับอาคารที่จะทำการติดตั้ง MATV แต่ถ้าในบริเวณใกล้เคียงไม่มีบ้านเรือน หรือการสอบถามทำไม่ได้สะดวก ก็จำเป็นต้องทำการสำรวจเอาเอง ขั้นตอนในการสำรวจควรเป็นดังนี้ คือ
อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ MATV
Modulator : TMS-VHF Modulator Single Side band VHF
TMS-VHF Modulator Single Side band UHF
Combiner : AC-20
PC-20
PC-16
PC-8
Booster : DA115
Splitter
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น